คลังบทความของบล็อก

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เจาะใจ - หมอวัย 90 รักษามะเร็ง

นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ

นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ

โรคมะเร็ง ภัยร้ายที่คุกคามทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย แม้ว่าโรคมะเร็งจะเกิดขึ้นบนโลกนี้มาหลายปี แต่ก็ยังไม่มีหนทางใด ที่จะรักษาโรคร้ายนี้ได้หายขาด ท่ามกลางความท้อแท้ใจของผู้ป่วยโรคมะเร็ง .. แต่ผู้ป่วยโรคมะเร็งหลายคนที่ได้ยินชื่อของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ที่ถูกบอกกล่าวให้รู้จักกันไปปากต่อปากก็มีความหวังกลับมาสู้ชีวิตและโรคร้ายได้อีกครั้ง ว่าแต่ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ คือใคร วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปทำความรู้จักกันค่ะ ..
           นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ วัย 89 ปี ชาว จ.สิงห์บุรี ที่เปิดคลินิกรักษาโรคมะเร็ง อยู่ที่บ้านเกิด ซึ่งในแต่ละวันมีชาวบ้านแห่กันมาให้ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ตรวจรักษา เกือบ 100 ราย ทำให้ชื่อของ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ กลายเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และผู้ป่วยโรคมะเร็งต่างเรียก นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ว่า“หมอเทวดา”
           ขณะที่ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ เอ่ยว่า อย่าเรียกตนว่าเป็นหมอเทวดาเลย เพราะตนเป็นเพียงแค่ “หมอธรรมดา” เท่านั้น โดยตนเริ่มทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งมาตั้งแต่ ปี พ.ศ.2512 จนประสบความสำเร็จในปี พ.ศ.2520 จึงได้ลาออกจากราชการมาเพื่อรักษามะเร็งโดยเฉพาะ ซึ่งวิธีการรักษาก็คือการผสมผสานระหว่างยาสมุนไพรกับยาแผนปัจจุบัน
           สำหรับ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ นั้น เรียนจบจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเรียนต่อแพทย์ ที่ศิริราช โดยทำงานในร้านขายยาส่งเสียตัวเองเรียนจนจบในปี พ.ศ.2494 และทำงานครั้งแรกในแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลศิริราช และเนื่องจาก นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ จบการศึกษาทางด้านเภสัชศาสตร์ ทำให้สนใจที่จะค้นคว้าสมุนไพรในการรักษาโรคมะเร็งมาก เนื่องจากโรคอื่น ๆ มีวิธีที่จะรักษาให้หายได้ แต่โรคมะเร็ง คือโรคที่ยังไม่มีหนทางในการรักษา แม้ว่าจะผ่าตัดหรือฉายแสง ก็ไม่ได้ทำให้โรคดังกล่าวหายขาดไป  
           ในช่วงที่ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ทำงานอยู่ประจำที่โรงพยาบาลศิริราช ได้เป็นผู้ก่อตั้งธนาคารเลือดให้กับโรงพยาบาลศิริราชขึ้น หลังจากนั้น นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ก็แล้วย้ายไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านเกิดมาเป็นแพทย์ประจำที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ด้วยเหตุผลที่ว่า ต้องการจะดูแลคุณแม่ ไปพร้อม ๆ กับการทำงานที่ตั้งใจ
           อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามนายจำนง จันทร์ฟอง อายุ 57 ปี หนึ่งในคนไข้ของ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ กล่าวว่า ตนได้ยินกิตติศัพท์ของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ มานาน และตนเองก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งทางเดินอาหาร ซึ่งแต่ก่อนตนจะรับประทานได้เพียงโจ๊กและอาหารอ่อนเท่านั้น แต่เมื่อมาหา นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ท่านให้ทานยาต้มวันละ 2 แก้ว คู่กับยาแคปซูล หลังจากนั้นตนก็มีอาการดีขึ้นและสามารถทานอาหารได้ตามปกติ

ขณะที่ผู้ป่วยมะเร็งหลายต่อหลายคนต่างมีความหวัง หลังได้ยินกิตติศัพท์ในความสามารถวินิจฉัยโรคและวิธีการรักษาของ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ และได้มารักษากับ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เปิดคลินิกรักษาโรคมะเร็ง ผ่านมา 30 กว่าปี ผู้คนต่างขนานนาม นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ ว่า “หมอเทวดา” ถึงแม้ว่าท่านจะถ่อมตัวตลอดมา ว่าท่านเป็นเพียงแค่ “หมอธรรมดา” เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม คนไข้มะเร็งในคลินิกของคุณหมอธรรมดาผู้นี้ ก็ยังคงเนืองแน่นอยู่ทุกวัน แม้จะล่วงเลยมาจนถึงวัย 89 ปีแล้วก็ตาม
           แม้จะต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน ในช่วงวัยที่ควรจะได้พักผ่อน แต่ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ก็ยังไม่เคยย่อท้อต่อการรักษาโรคร้าย และให้ชีวิตใหม่กับผู้สิ้นหวังอีกครั้ง แถมไม่เคยกอบโกยกำไรมหาศาลจากค่ารักษาพยาบาล เพราะท่านบอกว่า รักษาโรคมาเกือบ 40 ปีแล้ว ก็มีพอกินพอใช้ แต่สิ่งที่ได้จากการรักษาล้วนอยู่ที่ใจเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว
           ทุกวันนี้ นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ก็ยังคงเสียสละเวลาเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็งอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งใจไว้ว่า จะเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 90 ปี เพื่อพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต แต่อย่างไรก็ตามก็จะยังคงรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งต่อไป อีกทั้งยังนำสูตรสมุนไพรไปเผยแพร่ให้กับองค์การเภสัชกรรม เพื่อนำไปผลิตและจำหน่ายให้กับผู้ป่วย โดยคาดว่าจะจำหน่ายได้ในปี พ.ศ.2555
           "ผมไม่อยากให้ยานี้ตายไปกับผม" นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ กล่าวปิดท้าย

 ประวัติ นายแพทย์ สมหมาย ทองประเสริฐ
เกิด : 27 ธันวาคม พ.ศ.2464
อายุ : 89 ปี
ภูมิลำเนา : จ.สิงห์บุรี
พี่น้อง : 7 คน
การศึกษา :
            โรงเรียนเซนต์ปีเตอร์ ถนนสี่พระยา จนจบ ม.5
            โรงเรียนอำนวยศิลป์ ม.6 – ม.8
            จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะเภสัชศาสตร์ ปริญญาตรี
            แพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล รุ่น 55
การทำงาน :
            สถานเสาวภา  สภาชาดไทย  ค้นคว้าวิจัยเกี่ยวกับ วัคซีน, เซรุ่ม
            แพทย์ประจำแผนกศัลยกรรม โรงพยาบาลศิริราช
            หัวหน้าศัลยแพทย์ โรงพยาบาลศิริราช
            ควบคุมดูแล คลังโลหิต โรงพยาบาลศิริราช
            แพทย์ประจำ โรงพยาบาลสิงห์บุรี
            ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสิงห์บุรี
            นายแพทย์ประจำ สาธารณสุข จ.สิงห์บุรี
            เปิดคลินิกรักษาโรงมะเร็ง จ.สิงห์บุรี (เชี่ยวชาญการใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคมะเร็ง)
แหล่งที่มา http://hilight.kapook.com/view/51484

ภัตตาคารบ้านทุ่ง - สมุนไพรไทย

เคล็ดลับยาสมุนไพรรักษาโรค

แนะ! กระเทียม ช่วยลดไขมันในหลอดเลือดได้

          การใช้สมุนไพรเป็นยาบำบัดโรคนั้นอาจใช้ ในรูปยาสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือใช้ในรูปตำรับ ยาสมุนไพร ปัจจุบันตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้รักษาโรคได้มีทั้งหมด 28 ขนาน เช่น

          ยาจันทน์ลีลา ใช้แก้ไข้ แก้ตัวร้อน

          ยามหานิลแท่งทอง ใช้แก้ไข้ แก้หัด อีสุกอีใส

          ยาหอมเทพพิจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ

          ยาเหลืองปิดสมุทร แก้ท้องเสีย

          ยาประสะมะแว้ง แก้ไอ ขับเสมหะ

          ยาตรีหอม แก้ท้องผูกในเด็ก ระบายพิษไข้

สมุนไพรที่นิยมใช้เดี่ยวๆ รักษาอาการของโรคที่พบบ่อยๆ ได้แก่

          สมุนไพรแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด

          สมุนไพรแก้ท้องเสีย กล้วยน้ำว้า ทับทิม ฝรั่งดิบ

          สมุนไพรแก้ไอ มะแว้ง ขิง มะนาว

          สมุนไพรแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขมิ้นชัน แห้วหมู กระชาย

          สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ ขี้เหล็ก ดอกบัวหลวง หัวหอมใหญ่

          สมุนไพรแก้เชื้อรา กระเทียม ข่า ชุมเห็ดเทศ

          สมุนไพรแก้เริม เสลดพังพอนตัวเมียและตัวผู้

สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า

          1.ว่านหางจระเข้ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุด      ด่างดำ รักษาสิว

          2.แตงกวา : สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น

          3.มะเขือเทศ : สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ

          4.ขมิ้นสด : บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย  และช่วยให้สิวยุบเร็ว

          5.กล้วยน้ำว้าสุก : บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย

          6.หัวไชเท้า : ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย

สมุนไพรที่มีสารต้านเซลล์มะเร็ง

          มะกรูด ผักแขยง ขึ้นฉ่าย บัวบก ผักชีฝรั่ง กระชาย   ข่าใหญ่ มันเทศ ใบมะม่วง มะกอก เบญจมาศ แขนงกะหล่ำ แตงกวา พริกไทย ดีปลี โหระพา กะเพรา ใบตะไคร้ ถั่ว ผักแว่น ผักขวง เพกา ช้าพลู (ชะพลู) ลูกผักชี เร่ว เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หัวหอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ฯลฯ

สมุนไพรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (วิตามินเอ ซี อี)

          วิตามินเอสูง ได้แก่ ใบยอ ใบย่านาง ตำลึง ผักกูด มะระ กระสัง ผักแพว ผักชีลาว ผักแว่น ผักบุ้ง เหลียงกระเจี๊ยบแดง แมงลัก ชะอม พริกชี้ฟ้าแดง แพงพวย ขี้เหล็ก ฯลฯ

          วิตามินซีสูง ได้แก่ มะขามป้อม ฝรั่ง มะปราง ขนุน ละมุด มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า พุทรา ฯลฯ

          วิตามินอีสูง ได้แก่ พวกธัญพืชต่างๆ เช่น งาดำ ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าว ข้าวโพด ฯลฯ

          เบตาแคโรทีนสูง ได้แก่  แคร์รอต ฟักทอง แค กะเพรา แพชั่นฟรุต ขี้เหล็ก ผักเชียงดา ยอดฟักข้าว ผักแซ่ว ฯลฯ

สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง

          พืชสมุนไพร บวบขม จำปีป่า ปลาไหลเผือก ทองพันชั่ง เจตมูลเพลิงแดง ราชดัด ฝาง แสมสาร ติงตัง ขมิ้นต้น  ฟ้าทะลายโจร กระเทียม ประยงค์ รงทอง ข่อย ขมิ้นชัน แกแล สมอไทย ขันทองพยาบาท

          เครือเถาวัลย์ ดองดึง โล่ติ้น เจตมูลเพลิงขาว มังคุด โทงเทง ทับทิม จำปา ไพล ปรู จำปีหลวง พลับพลึง สบู่ดำ แพงพวยฝรั่ง    สีเสียด กะเม็ง สมอพิเภก

สมุนไพรกับโรคความดันโลหิตสูง

          ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะต้องได้รับการควบคุมดูแลจากแพทย์แผนปัจจุบัน และในการนำสมุนไพรมาใช้ใน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวัง และจะต้องตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้ขับปัสสาวะมีดังนี้

          หญ้าหนวดแมว ในใบของหญ้าหนวดแมวจะมีเกลือโพแทสเซียมปริมาณ 0.7-0.8% ใช้ใบอ่อนเป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเกลือโพแทสเซียมในใบอ่อนจะมีปริมาณสูง ตามตำรายาไทยใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและเอว ใช้ขับนิ่วและลดความดันโลหิตสูง

ข้อควรระวัง

          1.เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมสูงจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ

          2.ควรใช้การชง ไม่ควรใช้การต้ม และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีเกลือโพแทสเซียมละลายออกมามาก มีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หายใจผิดปกติได้

          3.ควรใช้ใบตากแห้ง ถ้าใช้ใบสดจะมีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น

          4.ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวคู่กับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ยามีฤทธิ์ต่อหัวใจมากขึ้น

          5.ก่อนการใช้ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันและได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย

          หญ้าคา ในรากหญ้าคามีสารอะรันโดอินและไซลินดริน ทั้งกรดอินทรีย์หลายชนิด ตามตำรับยาไทยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา โดยต้นหญ้าคาสด 40-50 กรัม (น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หรือ 1 กำมือ ต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)

          หมายเหตุ การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะทุกชนิดต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้

สรรพคุณสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด

          1.น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่าน้ำมัน เมล็ดดอกคำฝอยช่วยทำให้ปริมาณคอเลส  เตอรอลในเลือดลดลงและลดการอุดตัน ไขมันในหลอดเลือดได้

          2.กระเทียม มีสารอัลลิซินที่มีฤทธิ์ลด ไขมันในหลอดเลือดได้ ซึ่งจะใช้กระเทียม ประมาณ 5-7 กลีบ รับประทานหลังอาหารทุกมื้อ เป็นเวลา 1 เดือน ปริมาณคอเลส เตอรอลในเลือดจะลดลง

          3.ถั่วเหลือง ในถั่วเหลืองจะมีกรด อะมิโน เลซิติน และวิตามินอีสูง จะช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด

การปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดโรคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ

          1.การรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ปลา ผัก ผลไม้ อาหาร สมุนไพร ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด

          2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

          3.การพักผ่อนให้เพียงพอ

          4.ตรวจร่างกายประจำทุกปี

สรุปรายชื่อสมุนไพรที่ควรใช้ในรูปอาหารกับโรคเบาหวาน ได้แก่

          บอระเพ็ด มะระไทย ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ มะแว้ง เครือมะแว้ง ต้นตำลึง  ฟ้าทะลายโจร สะตอ ว่านหางจระเข้ แมงลัก อินทนิลน้ำ หอมใหญ่ กระเทียม หญ้าหนวดแมว เตยหอม ฝรั่ง ช้าพลู ขี้เหล็ก สะเดา ผักบุ้ง สักกำแพงเจ็ดชั้น มวกแดง-ขาว ชะเอมไทย รากลำเจียก รากคนทา

          หมายเหตุ - การรักษาโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการใช้ยาลดระดับน้ำตาลร่วมกับยาแผนปัจจุบันอาจจะทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป เป็นอันตรายได้ จึงแนะนำให้ใช้สมุนไพรในรูปของการปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน

สมุนไพรกับโรคเอดส์

          รายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาโรคเอดส์มีการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรหลายชนิด

          โปรตีนจากระหุ่ง แม้ว่าจะมีพิษแต่ก็มีผู้พบว่าส่วนหนึ่งของโปรตีน Ricin ซึ่งเป็นพิษคือ dg A สามารถจับ antibody ของ HIV ซึ่งทำให้ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส โดยมีผลต่อเซลล์ปกติเพียง 1/1,000 ของเซลล์ที่มีไวรัส

          การค้นพบนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพบยาที่ป้องกันหรือยืดเวลาในการเกิดโรคเอดส์

          Hypericum spp.

          พืชสกุลนี้บ้านเรามี บัวทอง (Hyperi cum garrettii Craib) มีผู้สกัดสาร Hypericin และ Pseudohypericin จากพืชนี้ พบว่ามีฤทธิ์ป้องกันการขยายตัวของไวรัสเอดส์

          Castanospermun australe

          Tyms และคณะได้พบว่าแอลคาลอยด์ 3 ชนิด มีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยให้ไวรัสจับกับ T-cells ซึ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และแอลคาลอยด์ที่ให้ผลดีที่สุดคือ Castanospermine จาก Castanospermum australe ไม้ยืนต้นของออสเตรเลีย และสารนี้มีพิษน้อย มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย

          ยังไม่มีสมุนไพรใดที่ใช้รักษาโรคเอดส์ได้จริงจัง ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งบางอย่างก็ทดลองโดยไม่ถูกกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาสมุนไพร ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการจะค้นพบยารักษาโรคนี้




ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
         http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/5173

โรคมะเร็งกับยาสมุนไพรรักษาโรคร้ายแรง

โรคมะเร็งกับยาสมุนไพรรักษาโรคร้ายแรง

มะเร็งและซีสมีลักษณะเป็นอนุมูลอิสระ (Free radical) มีจุดกำเนิดจาก ส่วนเกินของอาหารที่คนรับประทานเข้าไปในร่างกาย แล้วมีสิ่งตกค้างมิได้ถูกขับออกตามระบบขับถ่าย เมื่ออนุมูลอิสระได้รับออกซิเจนส่วนเกิน ซึ่งเรียกว่าเกิด การ “Oxidation” ทำให้เกิดก้อนเนื้อที่โตขึ้นถ้าก้อนเนื้อเหล่านั้นเป็นเนื้อร้าย ทางการแพทย์จะเรียกว่า “มะเร็ง ” ส่วนก้อนเนื้อที่มิใช่เนื้อร้าย มักจะเรียก “เนื้องอก หรือ ซีส ” เมื่อก้อนเนื้อโตขึ้นมากๆจะเป็นอันตรายต่อชีวิต และมีการกระจายของโรค ทางการแพทย์ถือว่าพืชที่มีคุณสมบัติเป็นสาร “Antioxidant” มีสรรพคุณในการป้องกันมิให้อนุมูลอิสระในร่างกายคนได้รับออกซิเจนส่วนเกินหรือป้องกันการเกิด “Oxidation”
ซึ่งจะส่งผลให้อนุมูลอิสระนั้นถูกกำจัดออกไป
อีกสาเหตุหนึ่งของโรคมะเร็งนั้นเป็นโรคจำเพาะอีกชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลืองมะเร็งเม็ดเลือดชนิดคาโปซีซาร์โคมา เป็นต้นจากข้อมูลที่ได้ทำการศึกษาวิจัยในห้องทดลองเพื่อตรวจสอบความเป็นสาร Antioxidant ของพืชสมุนไพรที่ใช้ปรุงยา ทำให้ผู้วิจัยทราบว่ามีพืชสมุนไพรรวม 6 ชนิด ที่มีคุณสมบัติเป็น สาร Antioxidant ผู้วิจัยจึงทำการศึกษาการออกฤทธิ์ของยาสมุนไพรสูตรที่ทำการศึกษาวิจัยในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ว่าจะได้ผลอย่างไร ดังนี้
จากการศึกษาเบื้องต้นในการบำบัดรักษาผู้ป่วยมะเร็งจำนวน 5 ราย ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็งตับ , มะเร็งเต้านม, มะเร็งสูตินารี และผู้ที่เป็นซีสตามลำตัว โดยผู้วิจัยกำหนดให้ผู้ป่วยทุกรายรับประทานยาสมุนไพรสูตรที่ทำการวิจัยนี้ ซึ่งเป็นยาผงบรรจุแคปซูลขนาด 450 มิลลิกรัม โดยรับประทานก่อนอาหารครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง ต่อเนื่องกันทุกวัน กำหนดให้ผู้ป่วยมะเร็งรับประทานยาสมุนไพรสูตรนี้ 1 วันทุกๆ 15 วัน แล้วรับประทานยาสมุนไพรล้างภายในร่างกาย เพื่อให้ภายในร่างกายสะอาด จากการศึกษาผู้ป่วยโรคมะร็งจำนวน 5 ราย ได้ข้อมูลที่น่าสนใจสรุปได้ดังนี้

ก. รหัส CPK.301 เป็นหญิง อายุ 57 ปี
แพทย์จากโรงพยาบาลศิริราช ได้ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่ตับ ขนาดเส้นผ่าศุนย์กลาง 5 ซม. เมื่อ 25 กย.42 ผู้ป่วยได้รับมอบยาจากคณะของผู้วิจัยในช่วง ม.ค. –พ.ค. 43 ตลอด ช่วงเวลา 4 เดือน ผู้ป่วยมิได้รับประทานยาต้านมะเร็งชนิดอื่น ผลจากการฉายรังสี x-ray จึงทราบว่าขนาดของเซลล์มะเร็งมีขนาดคงที่ ไม่มีการกระจายสุขภาพโดยทั่วไปของผู้ป่วยสามารถเดินและทำงานได้คล่อง
แคล่วและผู้ป่วยยังรับประทานยาสมุนไพรและยังมีชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้

ข. รหัส CPP.302ผู้ป่วยชายอายุ 34 ปี
ผู้ป่วยรายนี้ป่วยเนื่องจากมีเนื้องอกบริเวณลำตัวเหนือเอวขึ้นมาเป็นก้อนโตหลายก้อนใช้มือสัมผัสได้ ผู้ป่วยได้รับมอบยาจาก ผู้วิจัยเมื่อต้นเดือน ก.ย. 43 ผู้ป่วยให้สัมภาษณ์ต่อผู้วิจัยในช่วงปลายเดือน ต.ค. 43 ว่า ได้รับประทานยาสมุนไพรอย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้วิจัย ปรากฏว่าในเวลาประมาณ 1 เดือนเศษ ก้อนเนื้อที่งอกได้ลดขนาดและจำนวนลงเป็นอย่างมาก และต่อมาผู้ป่วยให้รายละเอียดว่าอีกประมาณ 3 เดือน ต่อมาได้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา แพทย์แจ้งว่าไม่พบก้อนเนื้อดังกล่าวอีก
 แหล่งที่มา http://www.marinerthai.com/bkt/patient01.html

ประโยชน์ของสมุนไพร

1. ใสกัดน้ำช้มันหอมระเหย สมุนไพรในกลุ่มนี้เป็นพวกที่มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ในตัว สามารถนำมาสกัดโดยวิธี นำมากลั่น ซึ่งจะมีกลิ่นและปริมาณที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับชนิดของสมุนไพร สมุนไพรที่น้ำมันหอมระเหยที่รู้จัก กันดี ได้แก่ ตะไคร้หอม น้ำมันตะไคร้หอมนำมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสบู่ แชมพู น้ำหอม และสารไล่แมลง ไพล น้ำมันไพล ใช้ในผลิตภัณฑ์ครีมทาภายนอก ลดการอักเสบฟกช้ำ กระวาน น้ำมันกระวนนใช้แต่งกลิ่นเหล้า เครื่องดื่มต่าง ๆ และอุตสาหกรรมน้ำหอม พลู น้ำมันพลู ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางค์ หรือเจลทาภายนอกแก้อาการคัน
2. ใช้เป็นยารับประทาน มีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้รับประทานเพื่อรักษาอาการของโรคต่าง ๆ เช่น ได้แก่ แก้ไข เจ็บคอ บอระเพ็ด ฟ้าทะลายโจร แก้ท้องอึด ท้องเฟ้อ กระเพรา ไพล ขิง ระงับประสาท ขี้เหล็ก ไมยราพ ลดไขมันในเส้นเลือด คำฝอย กระเจี๊ยบแดง กระเทียม
3. ใช้เป็นยาทาภายนอก เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณบำบัดโรคที่เกิดตามผิวหนัง รวมทั้งแผลที่เกิดในช่องปาก ได้แก่ รักษาแผลในปาก บัวบก หว้า โทงเทง ระงับกลิ่นปาก ฝรั่ง กานพลู แก้แพ้ ผักบุ้งทะเล เสลดพังพอน ตำลึง เท้ายายม่อม รักษาแผลน้ำร้อนลวก บัวบก ยาสูบ ว่านหางจรเข้ งูสวัด ตำลึง พุดตาน ว่านมหากาฬ เสลดพังพอน
4.ใช้ทำเป็นส่วนผสมของอาหารและเครื่องดื่ม เป็นเครื่องดื่มที่สกัดจากธรรมชาติที่ยังให้ประโยชน์ในการรักษาโรค ควบคู่ไปด้วย ได้แก่ บุก ให้ประโยชน์ในการดูดจับไขมันจากเส้นเลือด ลดน้ำหนัก ส้มแขก ดูดไขมัน ลดน้ำหนัก หญ้าหนวดแมว ลดน้ำหนัก บำรุงสุขภาพ
5. ใช้ทำเครื่องสำอางค์ มีสมุนไพรหลายชนิดในปัจจุบันที่นิยมใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางค์ และได้รับความ นิยมอย่างดี เนื่องจากผู้ใช้มั่นใจว่าปลอดภัยมากกว่าการใช้สารเคมี ได้แก่ ว่านหางจรเข้ อัญชัน มะคำดีควาย โดยนำมา ใช้เป็นส่วนผสมของแชมพู ครีมนวดผม สบู โลชั่นบำรุงผิว
6. ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ป้องกันกำจัดศัตรูพืช มักเป็นสมุนไพรจำพวกที่มีฤทธิ์เบื่อเมา หรือมีรสขม ข้อดีคือไม่มีฤทธิ์ตกค้าง ที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ สะเดา ยาสูบ ตะไคร้หอม ไพล เป็นต้น
7. ใช้บริโภคเป็นอาหารและเครื่องเทศ สมุนไพรในกลุ่มนี้จัดว่าเป็นพืชผักสมุนไพร นั่นเองสามารถนำมารับประทาน ให้คุณค่าทางอาหาร เพิ่มรสชาติ ดับกลิ่นคาว และยังช่วยย่อยอาหาร ได้แก่ กระเพรา โหระพา แมงลัก ผักชี สะระแหน่ ขิง ข่า กระชาย บางชนิดเป็นพืชผักสมุนไพรเมืองหนาว เช่น พาร์สเร่ย์ หรือผักชีฝรั่ง เฟนเนล (ผักชีลาว) เปบเปอร์มิ้นท์ ออริกาโน่ ทีม ไชฟ์ ดิล มาร์เจอร์แรม เซจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพืชพุ่มเตี้ย ใช้ส่วนของใบมาทานสด หรือแก้ง เป็นเครื่องเทศ ชูรส เป็นต้น
8.ปลอดภัย สมุนไพรส่วนมากมีฤทธิ์อ่อน ไม่เป็นพิษหรือมีอาการข้างเคียงมาก แตกต่างกับยาแผน ปัจจุบันที่บางครั้งจะมีฤทธิ์เฉียบพลันถ้าบริโภคเกินขนาดเพียงเล็กน้อยอาจเสียชีวิตได้
9. ประหยัด ราคาของสมุนไพรถูกกว่ายาแผนปัจจุบันมาก เนื่องจากเป็นทรัพยากรที่มีอยู่แล้ว จึง ควรอย่างยิ่งที่เราจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพิ่มมากขึ้น ทั้งยังช่วยกันลดดุลการค้าที่เสียบเปรียบต่างประเทศ เป็นการสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย
10. เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ห่างไกล คนไข้ที่อยู่ตามชนบท บางครั้งไม่สามารถมารับบริการจากสถานบริการทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้ควรใช้สมุนไพรที่เชื่อถือได้รักษาโรค
11. ไม่ต้องกลัวปัญหาขาดแคลนยา ปัจจุบันมียาหลายตัวที่ทำมาจากวัตถุเคมีที่ได้จากผลิตผลของน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันน้ำมันก็เริ่มจะขาดแคลนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกระทบกระเทือนรวมไปถึงการรักษาโรค เราจึงต้องศึกษาเกี่ยวกับยาสมุนไพรและนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากขึ้น
12. เป็นพืชเศรษฐกิจ ส่งเสริมการปลูกสมุนไพรที่ใช้ในประเทศ และเพื่อการส่งออกอย่างจริงจัง และต้องคำนึงถึงผลผลิตที่มีคุณภาพดีและต้นทุนต่ำสำหรับการส่งออกในรูปของสารสกัด ทำให้ได้ราคาดีกว่าการส่งออกในรูปวัตถุดิบ
แหล่งที่มา http://std.kku.ac.th/5050200414/data/use.html